รถยนต์ไฟฟ้า !! กลับมาใหม่ ไฉไลกว่าเดิม พร้อมย้อนรอยประวัติศาสตร์รถไฟฟ้าคันแรกของโลก
การกลับมาอีกครั้งของรถยนต์ไฟฟ้าหรือที่เรียกกันสั้นๆว่า รถEV นั้นกำลังเป็นที่ได้รับความสนใจของคนทั่วโลก การกลับมาในครั้งนี้ ได้รับการตอบรับที่ดีแบบคาดคิดไม่ถึง เพราะด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น รัฐบาลในแต่ละประเทศต่างมีนโยบายที่ผลักดันให้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และ มนุษย์นั้นก็ให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานไฟฟ้า เพื่อลดปัญหามลภาวะต่างๆ หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าความจริงแล้ว รถยนต์ไฟฟ้านั้นมีมาตั้งแต่สมัยปี ค.ศ.1828 !!
รถยนต์ไฟฟ้าที่เราเรียกจนติดปากกันว่า รถEV นั้นมาจากคำว่า Electric Vehicle รถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของโลกนั้นถูกคิดค้นโดย นักประดิษฐ์ชาวฮังการี ที่ชื่อว่า Ányos Jedlik เขาได้ ประดิษฐ์มอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อใช้ขับเคลื่อนรถขนาดเล็ก และต่อมาในปี ค.ศ.1834 Sibrandus Stratingh เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวเนเธอร์แลนด์ เขาได้สร้างรถที่อาศัยพลังงานจากแบตเตอรี่ แต่ข้อจำกัดนั้นคือแบตเตอรี่นั้นไม่สามารถชาร์จไฟได้ และ แกสตันแพลนท์ จึงได้พัฒนาเซลล์แบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด ซึ่งเป็นรูปแบบแรกของแบตเตอรี่สำรองแบบชาร์จไฟได้ ในปี ค.ศ.1859 จากนั้นในปี ค.ศ.1884 นักประดิษฐ์ชาวอังกฤษ Thomas Parker เขาได้สร้างรถยนต์ไฟฟ้าสี่ล้อครั้งแรกในกรุงลอนดอน โดยใช้แบตเตอรี่ที่เขาเป็นคนคิดค้น เป็นแบตเตอรี่ที่สามารถชาร์จได้
ในปี ค.ศ. 1899 รถไฟฟ้าที่มีการเคลื่อนที่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงคันแรกก็ได้ถูกสร้างขึ้นโดยมีชื่อว่า The Never Satisfied เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มีวัสดุน้ำหนักเบาและเคลื่อนที่ได้เร็ว
ถือเป็นยุคทองของ Electric Vehicle เลยก็ว่าได้ เพราะทั่วโลกให้ความสนใจกับการคิดค้นและผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างมาก ที่สหรัฐอเมริกาก็สร้างรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อเป็นTaxi ประเทศอังกฤษก็ได้ก่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และได้แพร่หลายในหลายๆประเทศ แต่เมื่อเกิดการค้นพบแหล่งปิโตรเลียมขนาดใหญ่หลายแห่งทั่วโลก จึงนำไปสู่การถดถอยของรถยนต์ไฟฟ้า คนหันไปใช้รถยนต์ที่ใช้น้ำมัน เนื่องจากความเร็วในการวิ่ง และระยะทางสูงสุดต่อการวิ่งแต่ละครั้ง รถยนต์ที่ใช้น้ำมันนั้นสามารถทำความเร็วได้มากกว่า รถยนต์ไฟฟ้าโดยสิ้นเชิง อีกทั้งประหยัดกว่าและยังสะดวกสบายกว่ามาก จึงเป็นเหตุให้ ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหลายรายเริ่มยุติสายการผลิต จากนั้นรถยนต์ไฟฟ้าจึงถูกนำมาใช้ในกิจกรรมที่ใช้ระยะทางวิ่งไม่ไกล หรือเป็นเพียงรถกอล์ฟ ที่ถูกใช้เพียงบางเวลา ไม่ใช่ในกิจวัตรประจำวันอีกต่อไป
แต่เนื่องด้วย ปัญหาการขาดแคลนน้ำมันในปี ค.ศ.1970-1990 และการใส่ใจอนุรักษณ์สิ่งแวดล้อมของมนุษย์นั้นมีมากขึ้นทำให้ทั่วโลกวางมาตรการในการหาพลังงานสะอาดเข้ามาทดแทน ลดการปล่อยมลพิษ เนื่องจากการปล่อยมลพิษจากเครื่องยนต์สันดาปนั้นทำลายสิ่งแวดล้อมและก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนอย่างมาก และการพัฒนาเทคโนโลยี แก้ไขข้อบกพร่องที่เป็นปัญหาของรถยนต์ไฟฟ้าในอดีต ที่เป็นเหตุให้รถยนต์ไฟฟ้าในยุคแรกนั้นถูกแทนที่ด้วยรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน เนื่องจากปัญหาเรื่องของ แบตเตอรี่ ที่มีระยะทางการวิ่งจำกัด ใช้เวลามากในการชาร์จต่อหนึ่งครั้ง รวมทั้งเรื่องความเร็วของรถ แต่เมื่อมีการพัฒนาแบตเตอรี่เป็นแบบ ลิเทียมไอออน สามารถเพิ่มความจุได้มากขึ้น ในขณะที่มีขนาดและน้ำหนักลดลง
จุดเริ่มต้นของเส้นทาง การกลับมาของรถยนต์ไฟฟ้า ในปี 2004 มีการเปิดตัว Tesla Roadster ของ Elon Musk ซึ่งมีผู้ให้ความสนใจและมียอดสั่งจองกว่า 2,500 คัน และต่อมาในปี 2010 Nissan Leaf รถยนต์ไฟฟ้าได้ ปรากฎกายออกมาก่อนจะกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดขายสูงที่สุดในโลก
ปี ค.ศ.2014 มีการสร้างโรงงานขนาดใหญ่และคิดค้นมอเตอร์ เชื้อเพลิง และแบตเตอรี่เพื่อใช้ในรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรม จากบริษัท Tesla Motor ที่ต้องการที่จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถใช้งานได้จริงบนท้องถนนและ ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งต่อมา รถยนต์ไฟฟ้าได้ถูกคิดค้น พัฒนาและผลิตจนมาถึง Tesla Model รุ่นที่ 3 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถวิ่งได้ระยะทางกว่า 320 กิโลเมตร ซึ่งน้อยกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ของ Tesla Model S รถยนต์คันนี้มีอัตราเร่ง 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อลิตร ภายในเวลา 2.5 วินาที พร้อมกับต้องการที่จะพัฒนาระบบไร้คนขับ
และในปี ค.ศ.2017 ได้มีการเปิดตัว Tesla Model X ตามสถานที่ต่างๆได้มีมีการเพิ่มจุดการชาร์จไฟมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับต่อผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า และบริษัทต่าง ๆ ก็เริ่มมีการแข่งขันและพัฒนา มีการออกรถยนต์ด้วยพลังงานแบบ Hybrid ขึ้นมา ซึ่งใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและระบบมอเตอร์ไฟฟ้า และในฝั่งเอเชียก็เริ่มมีการผลิตและพัฒนานำพลังงานไฮบริดมาใช้ในรถยนต์ เช่น Camry Hybrid
สิ่งสำคัญนอกเหนือจากศึกษาเรื่องรถแล้ว การติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน
เพราะจำเป็นต้องปรับปรุงระบบไฟฟ้าทุกครั้ง เพื่อลดความเสียหายให้กับรถของคุณ